วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ศาสนพราหมณ์-ฮินดู



ประวัติความเป็นมา

     ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู นับว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ ไม่อาจนับจำนวน ปีที่ที่แน่นอนได้  เพียงแต่ประมาณเวลาได้เท่านั้น นักการศาสนา นักปรัชญา  นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ได้แบ่งยุคของลัทธิ ศาสนานี้ออกเป็นหลายแบบแตกต่างกัน เช่น พระเทพวิสุทธิเมธี (พุทธทาสภิกขุ) แบ่งตามแนวประวัติศาสตรเป็น 7 ยุค คือ ยุคก่อนอารยัน  ยุคอารยันเข้าอินเดีย ยุคฤคเวท ยุเวทต่าง ๆ  ยุคพราหมณะ ยุอุปนิษัท และยุคพุทธกาล
  ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีแหล่งกำเนิดในเอเชียใต้ แถบประเทศอินเดียและประเทศปากีสถาน เป็นศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุดในโลกศาสนาหนึ่ง มีอายุมากกว่า 5,000 ปี ผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือว่าศาสนาของตนไม่มีจุดกำเนิดและไม่มีจุดสิ้นสุดจะคงอยู่คู่โลกนิรันดร
ศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดูเป็นศาสนาเดียวกัน คำว่า ศาสนาพราหมณ์ มีความหมายว่าศาสนาของพระพรหม ต่อมาได้ปฏิรูปให้เป็น ศาสนาฮินดู คำว่า ฮินดู เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งอยู่ในประเทศปากีสถานในปัจจุบัน ชนชาวอารยันได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการปฏิรูปคำสอนเดิมและเพิ่มเติมคำสอนใหม่ๆ ลงไปผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของชนพื้นเมืองหรือชาวมิลักขะหรือทัสยุ แต่ไม่ได้เรียกศาสนาใหม่ว่า ฮินดูเพียงแต่เรียกว่า สนาตนะธรรม หรือกฎธรรมชาติที่นิรันดร ต่อมาชาวตะวันตกจึงเรียกศาสนาของคนแถบแม่น้ำสินธุว่า ศาสนาฮินดู เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีกชื่อในศาสนาใหม่ว่าฮินดู ปัจจุบันนี้ศาสนิกชนพราหมณ์-ฮินดูส่วนมากอยู่ในประเทศอินเดีย ส่วนหนึ่งจะอาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ เช่น ศรีลังกา บาหลี อินโดนีเซีย ไทย และแอฟริกาใต้ โดยทั่วไป ถือว่าชาวฮินดูเชื่อว่ามีเทพเจ้าสูงสุด 3 องค์ คือ พระพรหม ซึ่งเป็นผู้สร้างโลก พระอิศวร หรือ พระศิวะ เป็นผู้ทำลาย และพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ เป็นผู้ปกป้องและรักษาโลก
ศาสนาฮินดูมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมากกว่า ๓,๐๐๐ ปี เป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดาเป็นผู้ประกาศศาสนา เป็นศาสนาของชาวอารยะ(ภาษาบาลีเรียกว่าชาวอริยกะ)ซึ่งเชื่อกันว่าอพยพมาจากยุโรป เข้ามาสู่อินเดียเมื่อราว ๓,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชาวฮินดูเชื่อว่าศาสนาฮินดูสืบทอดมาจากคัมภีร์พระเวทซึ่งเชื่อว่าฤาษีในสมัยก่อนได้รับ โดยตรงจากพระเป็นเจ้าจึงมีชื่อเรียกรวมๆว่า คัมภีร์ศรุติ (Śruti) จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้เราทราบว่าชาวพื้นเมืองเดิมที่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ

ุ        เป็นเจ้าของวัฒนธรรมซึ่งเรียกกันว่า อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ราว ๒๐๔๗-๑๓๕๗ปี ก่อน พ.ศ.) เป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองเพราะมีการสร้างเมืองที่มีผังเมืองเป็นระเบียบ ประชาชนมีการอาบน้ำตามพิธีทางศาสนาเคารพบูชาเทพเปลือยกายที่มีเขาและมีสัตว์แวดล้อม กราบไหว้เทพที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้ นับถือสัตว์คล้ายวัวมีเขาหนึ่งเขา ศาสนาของชาวพื้นเมืองเดิมแตกต่างจากศาสนาของชาวอารยะที่อพยพเข้ามาในภายหลังที่มาตั้งรกรากยุคแรกๆที่ลุ่มแม่น้ำสินธุ ชาวอารยะยุคแรกๆเคารพนับถือเทพหลายองค์ที่เป็นพลังอยู่เบื้องหลังธรรมชาติซึ่งยังไม่มีรูปร่างแบบรูปร่างมนุษย์อย่าง ชัดเจนเหมือนเทพในศาสนาฮินดูยุคหลัง ยุคที่ชาวอารยะเข้ามานั้นอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุได้ล่มสลายไปแล้ว แต่ศาสนาของชาวพื้นเมืองเดิมก็ยังคงมีผู้นับถือต่อมาและได้มีอิทธิพลต่อศาสนาของชาวอารยะในสมัยหลัง


        ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเป็นศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุดในโลกศาสนาหนึ่ง มีอายุกว่า 4,000 ปี เนื่องจากศาสนา นี้มีวิวัฒนาการ อันยาวนานผ่านขั้นตอนทางประวัติศาสตร์หลายขั้นตอนตั้งแต๋โบราณกาลถึง ปัจจุบัน จึงเป็นการยากในการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งกว่าศาสนาอื่นๆ ไม่มีใครกำหนดได้ว่าศาสดาคือใคร จนต้องถือว่าไม่มีศาสดา หรือผู้ก่อตั้งศาสนา คิดว่าเกิดจาก การได้ยินได้ฟังต่อๆ กันมา หรือเกิดจากประสบการณ์ทางศาสนา ของชาวฮินดูร่วมกัน เกิดเป็นคำสอน เป็นคำภีร์ขึ้นจนผู้นับถือศาสนา มีความเชื่อและแนวทางปฏิบัติต่างกันมากมาย ทั้งในสมัยเดียวกัน และสมัยต่างกัน แม้แต่ชื่อของศาสนาเอง ก็ยังเรียกต่างกันไปตาม กาลเวลา

        1. สนตนธรรม แปลว่า ศาสนาสนต หมายความว่า เป็นศาสนาที่ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีวันเสื่อมสูญ

        2. ไวทิกธรรม แปลว่า ธรรมที่ได้มาจากพระเวท

        3.  อารยธรรม แปลว่า ธรรมอันดีงาม

        4. พราหมณธรรม แปลว่า คำสอนของพราหมณาจารย์

        5. ฮินทูธรรม หรือฮินดูธรรม แปลว่า ธรรมที่สอนลัทธิอหิงสาหรือศาสนาฮินดู 

    ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาธรรมชาติ แรกเริ่มเดิมที กำเนิดมาจากความเชื่อ ของชาวอารยันที่นับถือบูชากราบไหว้ธรรมชาติ และเชื่อว่า มีเทพเจ้าประจำ ธรรมชาตินั้น ๆ (ทำนองเดียวกันกับ การเชื่อ หรือการนับถือผีปู่ยา่า ตายาย ของไทยเราในสมัยโบราณ) เช่น  ในสมัยพระเวทตอนต้น ชาวอารยัน จัดเทพเจ้า เป็น 3 หมวด คือ พวกที่หนึ่งอยู่บนสวรรค์ ได้แก่ วรุณ (ฝน = ไทยเรียก พระพิรุณ) สูรย์ (พระอาทิตย์) โสมะ (พระจันทร์) อุษา (แสงเงินแสงทอง) เป็นต้น  พวกที่สองอยู่บนฟ้า  เป็นเทวดาประจำอากาศ ได้แก่ อินทระ (พระอินทร์ = ในศาสนาพุทธ เรียก ท้าวสักกะ เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) มารุต (ลม) เป็นต้น  พวกที่สามอยู่บนพื้นโลก เป็นเทวดาประจำแผ่นดิน  ได้แก่ อัคนี (ไฟ) ปฤถวี (แผ่นดิน) และยม (พระยม) เป็นต้น  ในสมัยพระเวท นับถือพระอินทร์ว่า เป็นทพเจ้า สูงสุด มีสายฟ้าเป็นอาวุธ สามารถทำลายศัตรูให้พินาศราบคาบลงได้ชั่วพริบตา
ตรีมูรติ  เทพเจ้าสามองค์ในร่างเดียวกัน ของพราหมณ์-ฮินดู


พระพรหม เทพเจ้า ผู้สร้างโลก และสรรพสิง
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพเจ้าผู้รักษาโลก กับพระลักษมี
พระศิวะหรือพระอิศวร เทพเจ้าผู้ทำลาย

ต่อมาในสมัยพราหมณะ เกิดคำสอนว่า มีเทพองค์หนึ่ง เป็นใหญ่กว่าเทพเจ้า ทั้งหลาย เรียกว่า พระเป็นเจ้า หรือพรหม ซึ่งเป็นผู้สร้างโลก รวมทั้งเทพเจ้า ทั้งหลาย และมนุษย์ แล้วขีดชะตาชีวิตให้  เรียกว่า พรหมเนรมิต และพรหมลิขิต ตามลำดับ (ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง พ่อแม่เท่านั้น สร้างโลก และสร้างมนุษย์  จึงเรียกพ่อแม่ว่าเป็นพรหม) ในสมัยต่อมา ก็มีการเปลี่ยนแปลง ความเชื่อถือ และลัทธิพิธีมาโดยลำดับทุกระยะ จากศตวรรษหนึ่ง ไปยังศตวรรษหนึ่ง กล่าวคือ  ได้เทวดาใหม่ ๆ  มาเพิ่มเติม  เช่น พระวิษณุ  และพระศิวะ  ส่วนเทวดาเก่า ในสมัยพระเวท ก็ลดความสำคัญลง เช่น  พระอินทร์ บางอค์ถูกทอดทิ้ง เช่น พระอัคนี พระวรุณ  เป็นต้น

     ต่อมานักปราชญ์พราหมณ์ คนสำคัญ คือ ศังกรายจารย์ เห็นว่า ศาสนาพราหมณ์ จะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากคนหันไปฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ พราหมณ์เอง พราหมณ์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านหันไปพุทธมามกะ  เช่น  พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ  พระมหากัสสปะ และคนอื่น ๆ  อีกมากมาย  สังกรายจารย์ จึงไปศึกษาคำสอนของพุทธศาสนา แล้วเอามาดัดแปลงเข้ากับศาสนาพราหมณ์ แล้วเรียกใหม่ว่า ฮินดู  ซึ่งแปลว่า  ศาสนาของชาวอินเดียว  คือ รวมทุกศาสนา ที่มีอยู่ ในอินเดียวว่า เป็นฮินดูหมด  พระพุทธเจ้า ก็เป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ ที่เรียกว่า นารายณ์อวตาร คือ เป็นปางที่ 9 ปางพุทธมายา  แล้วแบ่งคำสอนเลียนแบบพุทธ ว่า ตรีมูรติ (เลียนแบบ พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ =  ไตรรัตน์) ซึ่งแปลว่า รูปสาม  สอนว่า เทพเจ้าที่สำคัญมี  3  องค์  คือ พระพรหม  พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระศิวะ  เทพเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ แท้จริงเป็นองค์เดียวกัน  แต่แบ่งภาคออกเป็น 3 องค์ เพื่อทำหน้าที่สามประการ คือ พระพรหม มีหน้าที่สร้างสรรค์ พระวิษณุ มีหน้าที่ทะนุบำรุง เลี้ยงดู (นารายณ์อวตาร ลงมาปราบมาร) พระศิวะ มีหน้าที่ทำลาย

     สมัยก่อนในศาสนาพราหมณ์ จะไม่มีวัด แต่จะเป็นเทวสถาน และไม่มีนักบวช หรือ ที่เรียกว่า พระ  ศาสนาพราหมณ์ จะคล้าย ๆ  กับ ศาสนาอิสลาม  คือ  มีครอบครัว มีลูกมีเมียได้  เป็นเศรษฐี  เป็นฏุฎุมพี  เป็นยาจก  เป็นชาวนา  ก็มีทั้งนั้น  เมื่อสังกราจารย์  เลียนแบบพุทธ  จึงมีวัด  มีนักบวช

วัดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู



สรุปประวัติของศาสนาพราหมณ์ จะแบ่งวิวัฒนาการออกเป็น 2 ช่วง คือ

     1.  สมัยพระเวท  เป็นสมัยที่มีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้ามากมายหลายพระองค์ (ซึ่งย้ายมาประเทศไทยเกือบทุกพระองค์) แบ่งออกเป็น  3  กลุ่ม  คือ เทพบนพื้นโลก เทพบนอากาศ และเทพบนสวรรค์ ซึ่งมีเทพเจ้าที่มีความสำคัญ และถูกยกให้ยิ่งใหญ่ กว่าเทพเจ้าองค์อื่น ๆ  คือ พระอินทร์ พระวรุณ และพระพฤหัสบดี ฯลฯ

     2.  สมัยพราหมณ์  ความเชื่อของมนุษย์ในสมัยนี้ ก้าวไกลออกไปถึงการหาเทพ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างโลก (เนรมิต) และสร้างสรรพสิ่ง (ลิขิต) เทพเจ้าอง๕ืใหม่นี้ เรียกว่า "พระพรหม" โดยพระองค์ เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่ง ก็เกิดจาก พระองค์  เมื่อตายแล้ว ก็ต้องกลับคืนสู่พระพรหม  นอกจากนี้ ยังมีเทพเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ อีก 2 องค์ คือ พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) เทพเจ้าทั้ง 2 องค์ นี้ ได้รับการนับถือเทียบเท่ากับพระพรหม ทำให้เรียกเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ว่า "ตรีมูรติ" ซึ่งแปลว่า "รูปสาม" ดังกล่วแล้ว คือ

พระพรหม                              เทพผู้สร้าง
พระวิษณุหรือพระนารายณ์       เทพผู้รักษา
พระศิวะหรือพระอิศวร              เทพผู้ทำลาย
     จากความเชื่อเรื่องตรีมูรติ ทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องของการเกิดยุค ซึ่งเรียกว่า "กัลป์" ซึ่งเป็นช่วงเวลาตั้งแต่พระพรหมสร้างโลก พระนารายณ์รักษาโลก ให้พ้นอำนาจของคนชั่ว  จนกระทั่ง พระศิวะต้องทำหน้าที่มาล้างและทำลายโลก ดังนั้น 1 กัลป์ จึงมีช่วงเวลาตั้งแต่โลกถูกสร้างขึ้นมา จนถึงโลกถูกทำลายไป  แบ่งออกเป็น  4  ยุค คือ

กฤตยุค  หมายถึง  ยุคที่มนุษย์มีความดีอย่างเต็มเปี่ยม
ไตรดายุค  หมายถึง  ยุคที่ความชั่วเริ่มเข้ามาในสังคม ประมาณ 1 ใน 4 แต่ความดียังมากกว่า
ทวาปรยุค  หมายถึง  ยุคที่มีความชั่วเข้ามาในสังคมครึ่งหนึ่ง มีความดี และความชั่วเท่าเทียมกัน
กลียุค  หมายถึง  ยุคที่มีความชั่วเข้ามา  3  ส่วน  ความดีเหลืออยู่ เพียงส่วนเดียว ทำให้สังคมมีความชั่วมากกว่าความดี สังคมวุ่นวาย
     นารายณ์ปางต่าง ๆ

มัตสยาวตาร  อวตารลงมาเป็นปลา เพื่อช่วยมนุษย์เมื่อคราวน้ำท่วมโลก ฆ่ายักษ์ ที่ชื่อยหครีวะ  ผู้เป็นต้นเหตุให้มนุษย์มีความเห็นผิดลุ่มหลง
กูรมาวตาร  อวตารลงมาเป็นเต่าในทะเลน้ำนม (เกษียรสาคร) เอาหลังรองรับ ภูเขาชื่อมันทาระ เทพยดานำพญานาคมาต่างเชือกชักภูเขา เพื่อกวนมหาสมุนทร (นารายณ์เกษียรสมุนทร) ให้เกิดน้ำอมฤต และสิ่งมีค่า อื่น ๆ  รวม 14 อย่าง
วราหาวตาร  อวตารลงมาเป็นหมู่ป่า เพื่อปราบยักษ์ ผู้มีนามว่า "หิรัณยากษะ" ผู้จับโลกกดลงไปใต้ทะเล  ตามตำนานกล่าวว่า แต่เดิมโลก เป็ฯก้อนน้ำกลม  แต่ด้วยเขี้ยวของหมูป่าดุนให้โลกสูงขึ้นมาจากน้ำได้ คนจึงได้อาศัยอยู่บนโลกทุกวันนี้
นรสิงหาวตาร  อวตารลงมาเป็นมนุษย์สิงห์ คือครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงห์  เพื่อปราบยักษ์ชื่อ "หิรันยกศิปุฯ  ผู้ได้พรจากพระพรหมว่า จะไม่ถูกมนุษย์ เทพ หรือสัตว์ฆ่าให้ตายได้  ยักษ์จึงกำเริบรุกานโลกทั้ง  3  (สวรรค์ มนุษย์ ยม หรือนรก) พระนารายณ์ จึงอวตารเป็นนรสิงห์ ทำลายยักษ์นั้น ถึงแก่ชีวิต  เพราะนรสิงห์มิใช่คน มิใช่สัตว์
วามนาวตาร  อวตารลงมาเป็นคนค่อม เพื่อปราบยักษ์ชื่อพลิ  มิให้มีอำนาจ ครองโลกทั้ง  3 โดยขอเนื้อที่เพียง  3  ก้าว  เมื่อพลิยักษ์ ยินยอม จึงก้าวไป 2 ก้าว ก็เกินสวรรค์และเกินโลก แต่ด้วยความกรุณา จึงประทานโลกใต้บาดาล ให้ยักษ์นั้นไป
ปรศุรามาวตาร  อวตารลงมาเป็นรามผู้ถือขวาน ในเรื่องเล่ากันว่า พระวิษณุ อวตารลงมาเป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้มีนามว่า "ยมทัคนี" และสืบสกุลมาจาก ภฤคุ  เื่พื่อป้องกันมิให้กษัตริย์ครอบครองอาณาจักรเหนือวรรณะพราหมณ์ ปรศุราม ได้ชำระโลกถึง 21 ครั้ง เพื่อให้ปราศจากวรรณะกษัตริย์
รามาวตาร  อวตารลงมาเป็นรามจันทร์ (พระราม ผู้อ่อนโยน หรือ เปรียบเสมือนพระจันทร์  คือ เป็ฯพระรามในเรื่องรามายณะ หรือ ที่ไทยเรา เรียกว่า "รามเกียรติ์" เพื่อปราบยักษ์ชื่อวรรณะ หรือทศกัณฐ์
กฤษณาวตาร  อวตารลงเป็นพระกฤษณะ (ผู้มีผิวดำ) ในเรื่องมหาภารตะ เพื่อทำลายกษัตริย์กังสะผู้ทารุณ  ซึ่งเท่ากับเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้าย การปราบผู้ชั่วร้ายเช่นนี้ ย่อมคล้ายคลึงกับอวตารที่ 7 ที่ทรงปราบทศกัณฐ์
พุทธาวตาร หรือ ปางมายา อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เหตุผลทางฝ่าย พราหมณ์ บางพวกผู้เกลียดพระพุทธศาสนาก็ว่า พระวิษณุ อวตารลงมาเป็น พระพุทธเจ้า แต่เหตุผลอีกทางหนึ่ง ศาสนาฮินดูเห็นว่า จะสู้พระพุทธศาสนา ไม่ได้ จึงแต่งเรื่องนี้ขึ้น เพื่อกลืนพระพุทธศาสนา เข้ามาไว้ในศาสนาฮินดู ดังกล่าวแล้ว บางพวก บอกว่า อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อลวง พวกอสูรให้ไปนับถือพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า ปางมายา เทวดาจะได้มานับถือพราหมณ์ ดังนั้น ผู้ที่เป็นชาวพุทธ ถือว่าเป็นอสูรในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (ศาสนาคริสต์ ก็เลียนแบบพราหมณ์ โดยบอกว่า พระพุทธเจ้า เป็นประกาศกของพระเยซู ผู้ใคร่ศึกษา ควรหาอ่านดู)
กัลกยาวตาร  อวตารลงมาเป็นกัลกี หรือกัลกีน คือ บุรุษขี่ม้าขาว ถือดาบ มีแสงแปลบปลาบดั่งดาวหาง ปางนี้ เรียกอีกอย่างว่า อัศวาวตาร เพื่อปราบ คนชั่วและสถาปนาธรรมขึ้นใหม่ในโลก
สัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
คือ อักษรเทวนาครี อ่านว่า โอม ตัวอักษรที่อ่านว่า โอม มาจาก อ + อุ + มะ เป็นแทนพระตรีมูรตีเทพ คือ อ แทนพระนารายณ์หรือพระวิษณุ อุ แทนพระพรหมา ม แทนพระศิวะ หรือพระอิศวร เมื่อรวมกันเข้าเป็นอักษรเดียวกลายเป็นอักษร โอม แทนพระปรมาตมัน พระเจ้าสูงสุด ไม่มีตัวตน สัญลักษณ์นี้ทุกนิกาย ทุกลัทธิ ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ต้องใช้เป็นประจำ สัญลักษณ์รองลงมาคือ เครื่องหมายสวัสดิกะ เป็นสัญลักษณ์ที่ทุกนิกาย ทุกลัทธิใช้กันมาก เป็นเครื่องหมายแทนพระพิฆเนศวร หรือพระคเณศ หมายถึงเป็นมงคลทุกด้าน ทุกมุม ปราศจากอุปสรรคทั้งปวงรองลงมามีเครื่องหมายสัญลักษณ์หลายอย่าง ซึ่งแต่ละนิกายและลัทธิ ใช้กันประจำนิกาย และลัทธิ เช่น นิกายไศวะ ใช้รูปตรีศูล นิกายไวษณพ ใช้รูปจักร เป็นต้น ในประเทศไทย เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ใช้ทั้งตรีศูล และตัวอักษร โอม เป็นสัญลักษณ์ ทางสมาคมฮินดูสมาชเอาตัวอักษรโอม เป็นสัญลักษณ์ สมาคมฮินดูธรรมสภา เอารูปโอม ล้อมรอบด้วยสวัสดิกะ และจักร ในรูปวงกลมเป็นสัญลักษณ์ ทั้งสามสถาบัน รวมกันเรียกว่า องค์การศาสนาพราหมณ์ฮินดู ซึ่งมัสัญลักษณ์ร่วมคือ ตัวโอม อยู่ระหว่างตรีศูล นอกจากนี้ยังมีรูปดอกบัว สังข์ คฑา ช้าง โค พระอาทิตย์ นกยูง สิงโต งู คันไถ และอื่น ๆ ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำนิกาย และประจำลัทธิด้วย แต่ต้องมีตัวโอมอยู่เสมอ

โอมสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู หมายถึงพระตรีมูรติเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ทั้ง 3
คัมภีร์ทางศาสนา

คัมภีเก่าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเรียกว่า ไตรเพท คัมภีร์ที่ใช้ในปัจจุบันเรียกว่า สามเวท ประกอบด้วย

1.ฤคเวท บทสรรเสริญพระเจ้า 
2.ยชุรเวท ว่าด้วยพิธีบูชายัญ
 3.สามเวท บทสวดที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ 
4.อาถรรพเวท ว่าด้วยคาถาอาคมที่ใช้ป้องกันตนเอง รักษาโรค และ ทำร้ายผู้อื่น

การแบ่งยุคสมัยของศาสนาพราหมณ์ -ฮินดู

1. สมัยอริยกะ ระยะเวลาประมาณ 950 ปีก่อนพุทธกาล

2. สมัยพระเวท - 957-475 ก่อนพุทธกาล

พระอินทร์ (เทพแห่งสงคราม), พระวรุณ (เทพแห่งเกษตร, กฏจักรวาล, จริยธรรม), พระพฤหัส (เทพแห่งวิชาการ)
คัมภีร์พระเวท เรียกว่า ศรุติ คือสิ่งที่ได้ยินจากเทพเจ้า (โดยผ่านทางฤาษี)
3. สมัยพราหมณ์ - 257 ปีก่อน พ.ศ.-พ.ศ.43

พราหมณ์เป็นใหญ่
พวกอารยันเชื่อในความภัคดีต่อเทพเจ้า แต่งบทสวด ทำพิธีบวงสรวง เกิดวรรณทั้ง 4
พหุเทวนิยม เพื่ออธิบายการหมุนเวียน, สังสารวัฎของโลกและชีวิต
สร้างทฤษฎีอวตาร - การแบ่งภาคมาเกิดในโลกของพระนารายณ์ เพื่อแสดงวิวัฒนาการและอำนาจของเทพ
4.สมัยฮินดูเก่า(ฮินดูแท้) และอุปนิษัท - 57 ปีก่อน พ.ศ.-ต้นพุทธกาล

5.สมัยสูตร - พ.ศ.60-พ.ศ.360

6.สมัยอวตาร - พ.ศ. 220-พ.ศ.660

7.สมัยเสื่อม พ.ศ. 861-พ.ศ.1190

8.สมัยฟื้นฟู พ.ศ. 1200-พ.ศ. 1740

9.สมัยภักติ พ.ศ. 1740- พ.ศ. 2300


[แก้ไข] นิกาย

นิกายไวษณพ
นิกายไศวะ
นิกายศักติ

 การเผยแพร่ศาสนาฮินดูในประเทศไทย

        ศาสนาฮินดูที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยนั้น คือ ช่วงที่เป็นศาสนาพราหมณ์ โดยเข้ามาที่ประเทศไทยเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏระยะเวลาที่ น่นอนในที่ นี้ขอเรียกว่าศาสนาพราหมณ์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในความเข้าใจ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ส่วนมากสันนิษฐานว่า ศาสนาพราหมณ์นี้น่าจะเข้ามาก่อนสมัยสุโขทัยโบราณสถานและรูปสลักเทพเจ้าเป็นจำนวนมากได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนา เช่นรูปสลักพระนารายณ์ 4 กร ถือสังข์ จักร คทา ดอกบัว สวมหมวกกระบอก เข้าใจว่าน่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10 หรือเก่าไปกว่านั้น(ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ) นอกจากนี้ได้พบรูปสลักพระนารายณ์ทำด้วยศิลาที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โบราณสถานที่สำคัญที่ขุดพบเช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี เทวสถานเมืองศรีเทพจังหวัดเพชรบูรณ์ต่อมาในสมัยสุโขทัยศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นควบคู่ไปกับพุทธศาสนาในสมัยนี้มีการ ค้นพบเทวรูปพระนารายณ์พระอิศวรพระพรหมพระแม่อุมาพระหริหระส่วนมากนิยมหล่อสำริดนอกจากหลักฐานทางศิลปกรรมแล้วในด้านวรรณคดีีได้แสดงให้เห็นถึง ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ เช่น ตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ หรือแม้แต่ประเพณีลอยกระทง เพื่อขอสมาลาโทษพระม่คงคา น่าจะได้อิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เช่นกัน ในสมัยอยุธยา เป็นสมัยที่ศาสนพราหมณ์เข้ามามีอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีเช่นเดียวกับสุโขทัย พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงยอมรับพิธีกรรมที่มี ศาสนาพราหมณ็เข้ามามีส่วนเช่นพิธีแช่งน้ำพิธีทำน้ำอภืเษกก่อนขึ้นครองราชสมบัติพิธีบรมราชาภิเษกพระราชพิธีจองเปรียงพระราชพิธีจรด พระนังคัลแรกนาขวัญพระราชพิธีตรียัมปวายเป็นต้นโดยเฉพาะสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงนับถือทาง ไสยศาสตร์มากถึงขนาดทรงสร้างเทวรูปกุ้มด้วยทองคำทรงเครื่องลงยาราชา วดีสำหรับตั้งในการพระราชพิธีหลายองค์ ในพิธีตรียัมปวายพระองค์ได้เสด็จไปส่งพระเป็นเจ้าถึงเทวสถานทุก ๆ ปี ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พิธีต่าง ๆ ในสมัยอยุธยายังคงได้รับการยอมรับนับถือจากพระมหากษัตริย์และปฏิบัติต่อกันมา

        ศาสนาฮินดูที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยมากนักประวัติศาสตร์ศิลป์ส่วนมากสันนิษฐานว่า ศาสนาพราหมณ์น่าจะเข้ามาก่อนสมัย สุโขทัย

        -โบราณสถานและรูปสลักเทพเจ้าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนา เช่น รูปสลักพระนารายณ์ 4 กร ถือสังข์ จักร คทา ดอกบัว สวมหมวกกระบอก เข้าใจว่าน่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10 หรือเก่ากว่านั้น (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ)

         -นอกจากนี้ได้พบรูปสลักพระนารายณ์ทำด้วยศิลาที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โบราณสถานที่สำคัญที่ขุดพบ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี เทวสถานเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์

        -ต่อมาสมัยสุโขทัย ศาสนาพราหมณ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ควบคู่ไปกับพุทธศาสนา

        -มีการค้นพบเทวรูป พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม พระแม่อุมา พระหริหระ ส่วนมากนิยมหล่อสำริด

        -ด้านวรรณคดีได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ เช่น ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ หรือแม้แต่ประเพณีลอยกระทง เพื่อขอสมาลาโทษพระแม่คงคา น่าจะได้อิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เช่นกัน

        -สมัยอยุธยาศาสนาพราหมณ ์มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีเช่นเดียวกับสุโขทัย พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงยอมรับพิธีกรรมที่มีศาสนาพราหมณ็เข้ามามีส่วน เช่น พิธี แช่งน้ำ พิธีทำน้ำอภิเษกก่อนขึ้นครองราชสมบัติ พิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีจองเปรียง พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย เป็นต้น

        -โดยเฉพาะสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงนับถือทางไสยศาสตร์มาก ถึงขนาดทรงสร้างเทวรูปกุ้มด้วยทองคำ ทรงเครื่องลงยาราชาวดีสำหรับตั้งในการพระราชพิธีหลายองค์ ในพิธีตรียัมปวายพระองค์ได้เสด็จไปส่งพระเป็นเจ้าถึงเทวสถานทุก ๆ ปี

        -สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พิธีต่าง ๆ ในสมัยอยุธยา ยังคงได้รับการยอมรับนับถือจากพระมหากษัตริย์ และปฏิบัติต่อกันมา เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก, การทำน้ำอภิเษก, พระราชพิธีจองเปรียง, พระราชพิธีตรียัมปวาย (พิธีโล้ชิงช้า), พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัล

        -พิธีพราหมณ์เท่าที่เหลืออยู่ และยังมีผู้ปฏิบัติสืบกันมา ได้แก่พิธีโกนผมไฟ พิธีโกนผมจุก พิธีตั้งเสาเอก พิธีตั้งศาลพระภูมิ
นิกายในศาสนาฮินดู (Hindu Sects) 

ศาสนาฮินดู ที่สืบเนื่องจากศาสนาพราหมณ์นับเป็นศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุด ได้แบ่งออกเป็นหลายนิกายที่สำคัญ เช่น
1. นิกายไวศณพ (Vishnav) เป็นนิกายที่นับถือพระวิษณุเจ้าเป็นเทพองค์สูงสุด เชื่อว่าวิษณุสิบปาง หรือนารายณ์ ๑๐ ปางอวตารลงมาจุติ มีพระลักษมีเป็นมเหสี มีพญาครุฑเป็นพาหนะ นิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดียภาคเหนือและภาคกลาง ของประเทศ นิกายนี้เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ สถาปนาโดยท่านนาถมุนี (Nathmuni)

2. นิกายไศวะ (Shiva) เป็นนิกายที่เก่าที่สุด นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด พระศิวะเป็นเทพทำลายและสร้างสรรค์ด้วย สัญลักษณ์ อย่างหนึ่งแทนพระศิวะคือศิวลึงค์และโยนีก็ได้รับการบูชา เช่น องค์พระศิวะ นิกายนี้ถือว่าพระศิวะเท่านั้นเป็นเทพสูงสุดแม้แต่พระพรหม, พระวิษณุก็เป็นรองเทพเจ้าพระองค์นี้ นิกายนี้เชื่อว่า วิญญาณเป็นวิถีทางแห่งการหลุดพ้นมากกว่าความเชื่อในลัทธิภักดี นิกายนี้จะนับถือพระศิวะและพระนางอุมาหรือกาลีไปพร้อมกัน

3. นิกายศักติ (Shakti) เป็นนิกายที่นับถือพระเทวี หรือพระชายาของมหาเทพ เช่น สรัสวดี พระลักษมี พระอุมา เจ้าแม่ทุรคา และเจ้าแม่กาลีซึ่งเป็นชายาของมหาเทพทั้งหลาย เป็นผู้ทรงกำลังหรืออำนาจของเทพสามีไว้ จึงเรียกว่า ศักติ (Power) นิกายนี้เป็นที่นิยมในรัฐเบงกอล และรัฐอัสสัม เป็นต้น

4. นิกายคณะพัทยะ (Ganabadya) นิกายนี้นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ถือว่าพระพิฆเนศเป็นศูนย์กลางแห่งเทพเจ้าทั้งหมดในศาสนา เชื่อว่าเมื่อได้บูชาพระพิฆเนศอย่างเคร่งครัด ก็เท่ากับได้บูชาเทพอื่นๆ ครบทุกพระองค์

5. นิกายสรภัทธะ (Sarabhadh) เป็นนิกายขนาดเล็ก ในสมัยก่อนบูชาพระอาทิตย์ (สูรยะ) มีผู้นับถือมากในอดีต ปัจจุบันมีจำนวนน้อย นิกายนี้มีพิธีอย่างหนึ่งคือ กายตรี หรือ กายาตรี (Gayatri) ถือว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ คือการกลับมาของพระอาทิตย์เป็นฤๅษีวิศวามิตร

6. นิกายสมารธะ (Samardha) เป็นนิกายที่ใหญ่พอสมควร นับถือทุกเทพเจ้าทุกพระองค์ในศาสนา ฮินดู ความเชื่อแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถบูชาเจ้าได้ตามต้องการ

ยังมีนิกายอื่นๆอีกมากมาย และแยกย่อยออกไปอีก เช่นเดียวกับศาสนาพุทธ และ ศาสนาคริสต์ ที่มีนิกายน้อย-ใหญ่ แตกแขนงออกมาอีกนับไม่ถ้วน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น